Home ข้อคิด คน 5 ประเภทนี้ ที่พวกเขามีโอกาสตกงานได้ ถ้ายังไม่ปรับตัวตามยุคสมัย

คน 5 ประเภทนี้ ที่พวกเขามีโอกาสตกงานได้ ถ้ายังไม่ปรับตัวตามยุคสมัย

0 second read
0

ดเหมือนว่าเรื่องเหล่านี้จะไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา เราต่างเห็นบริษัท

ทยอยปลดพนักงานออกเพื่อลดรายจ่ายไม่ค่อยรับพนักงานใหม่ พนักงานที่ได้อยู่ต่อ

ก็ต้องทำงานหนักกว่าเดิม ในบางครั้งต้องทำงานแทนตำแหน่งคนที่ลาออก

ในบางแห่งเริ่มแทนที่พนักงานด้วยหุ่นยนต์ ดังนั้นอย่าคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไป

ดังนั้น จึงมีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ เมื่อทั้งโลกเริ่มขยับเราก็คงต้องปรับตัวตาม ไม่งั้นเราจะอยู่ไม่ได้

1. คนที่ทำงานแบบเดิม ไม่อยากเปลี่ยนอะไร

เพราะหลายคนก็ชอบงานที่ทำแบบซ้ำๆในทุกๆ วันเพราะไม่ต้องคิดอะไรมาก

ให้ป วด หั ว เป็นการทำงานแบบหุ่นยนต์ ก็คงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่

ที่วันหนึ่งจะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ เพราะหุ่นยนต์ไม่เคยหยุดทำงาน ไม่อู้งาน

หรือเรียกร้องให้ขึ้นเงินเดือน ไม่ขอสวัสดิการอะไรเพิ่ม มันจะลดปัญหาได้ตามไปด้วย

2. ไม่หาความรู้เพิ่ม ยึดแต่ความรู้เดิม

โดยเฉลี่ยแล้วคนเรา จะใช้เวลาทำงานวันละประมาณ 8 ชม ซึ่งมีคนรู้จัก

ที่ได้ทำงานอยู่ในโกดังแห่งหนึ่ง หน้าที่ของเค้า คือ การเช็ คจำนวนสินค้าในคลัง

เป็นงานง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้ทักษะ หรือเสี่ ยงที่จะถูกหุ่ นย นต์มาแทนที่

แต่ในการทำงาน ปีแรกๆของเขามีของที่ถูกส่งมา เป็นจำนวนมาก

และหลังเลิกงาน เขาจะใช้เวลาในการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมหาความรู้เสมอ

และเขาก็ได้ค้นพบว่า ของบางอย่างนั้นมันเป็นที่ต้องการในตลาดอย่างมาก

และด้วยความที่เขาทำงานในวงการนี้อยู่แล้วไง มันจึงทำให้เขา หาแหล่งผลิต

ที่ได้ต้นทุ นในราคาถู กลง และเขาก็เริ่มสั่งสินค้ ามาขายในออนไลน์

แต่เขาก็ยังคงทำงานในโกดังเหมือนเดิม เวลาผ่านไป 3 ปี ธุรกิจค้าข ายออนไลน์

เติบโตขึ้นมาก ภายในเวลา 7 ปี เค้าก็สามารถเปิดกิจการ เป็นของตัวเองได้แล้ว

นอกเหนือเวลาทำงาน 8 ชม เค้ายังคงทำงานและเรียนรู้เพิ่มเติม นี่คือสิ่งที่ต่างจากคนอื่นๆ

คือเขาไม่เคยหยุดเรียนรู้ นอกจากเวลางานจึงทำให้เขาเติบโตไปได้ไกลกว่าคนอื่น

และด้วยยุคสมัยที่อินเตอร์เน็ตเข้าถึงได้ง่ายขึ้น แหล่งหาความรู้เพิ่มเติมก็เข้าถึงง่ายด้วย

3. คนที่ทำงานร่วมกบคนอื่นไม่เป็น

มีบริษัทต่างชาติแห่งหนึ่งกำลังรับสมั ค รพนักงานและมีผู้มาสมัครงาน 6 คน

คือก่อนรับเข้าทำงาน ทางบริษัทเขาก็ได้ให้เงินจำนวน 75 บาท กับผู้สมัครงานทั้ง 6 ไป

เพื่อนำเงินนั้นไปซื้อข้าวกินด้วยกัน แต่พอไปถึงร้านข้าวจานหนึ่ง อย่างต่ำก็ 15 บาท

เงินที่ให้มานั้นไม่พอให้คนละจาน พนักงานเหล่านั้นจึงพากันกลับไปที่บริษัทซะงั้น

พอไปถึงบริษัทประธานรู้เข้าว่า พวกเขากลับมามือเปล่า ประธานก็ถึงกับส่ายหัว

พูดออกไปว่า“ขอโทษด้วยผมรับพวกคุณเข้าทำงานไม่ได้ พวกคุณไม่เหมาะกับบริษัทเราเลยแม้แต่น้อย”

เหตุผลก็เพราะว่าร้านอาหารร้านมีโปรซื้อ 5 แถม1 แต่ทั้ง 6 คน ก็ไม่มีใครรู้

และไม่ถามอะไรร้านเลย หรืออ่านรายละเอียดไม่ครบ มันก็แสดงให้เห็นว่าไม่ใส่ใจ

ถึงแม้จะไม่มีโปรก็ยังสามารถซื้อข้าวมา 5 จาน แล้วแบ่งใส่เพิ่มอีก 1 จาน

แต่ผู้สมัครทั้ง 6 ไม่มีใครคิดว่ามาด้วยกัน ก็เลยจึงไม่มีความเป็นทีม มีแต่คิดถึงตัวเอง

4. คนที่ไม่มองไปข้างหน้า

เช่น นายดำและนายแดงได้เข้าไปฝึกงาน ที่บริษัทแห่งหนึ่งและเมื่อเรียนจบไปแล้ว

ก็ได้ไปทำงานในบริษัทนั้นแต่บริษัท ได้เสนอให้ทั้ง 2 คนไปศึกษาดูงาน ที่สำนักต่างประเท ศ

เป็นเวลา 2 ปี แต่ว่าเขาก็จะได้รับเงินเดือนแค่ครึ่งเดียว ไม่มีค่าคอมให้ด้วย

นายดำรู้สึกว่า เงินเดือนที่ได้นั้นมันน้อย มันไม่พอใช้จ่ายแน่ๆ ยังต้องลำบากไปใช้ชีวิต

ที่ต่างประเทศอีกเขาจึงตัดสินใจที่จะไม่ไปแต่ในขณะที่นายแดง ก็ได้ตัดสินใจไปศึกษา

งานที่ต่างประเท ศเพราะคิดว่า ได้ไปเพื่อหาประสบการณ์ก็คุ้มค่าแล้ว

หลังจากนั้นพอเวลาผ่านไป 2 ปี นายดำยังคงทำงานที่ตำแหน่งเดิมงกๆ เงินเดือนขยับ

ขึ้นมานิดหน่อยแต่ในขณะที่นายแดงหลังจากกลับมา ก็เป็นหัวหน้าคนใหม่ของบริษัท

มีรายได้หลักแสน ซึ่งมากกว่านายดำถึง 5 เท่า เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า นายดำก็ไม่ได้ตัดสินใจผิดพลาด

หรือนายแดงตัดสินใจถูกแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะว่าทั้งคู่ ต่างเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง

แต่พอเวลาผ่านไปทุกอย่างจะเป็น สิ่งพิสูจน์ได้ว่า การตัดสินใจในอดีต

จะพาเราก้าวไปข้างหน้า ได้มากน้อยแค่ไหน มันก็อยู่ที่เราตัดสินมันเองนี่แหละ

5. คนที่ไม่รู้จักลงทุนในตัวเอง

หลายๆ คนมักจะถูกสอนให้รู้จักอดออมเพื่อที่วันข้างหน้า จะได้ไม่ลำบาก

แต่ไม่ค่อยสอนให้รู้จักหาเงินให้ได้ให้มากขึ้น และถ้าเราใช้เวลา 1 ปี

เพื่อให้มีเงินเก็บ 1 แสน นั่นก็เท่ากับว่า 10 ปีนั้นเราจะมีเงินเก็บ 1 ล้าน

แต่แบบนั้นมันไม่เก่งหรอกนะ เพราะคุณต้องใช้เวลาถึง 10 ปีเลย คือมันนานไป

ในขณะที่บางคนอาจจะหาเงินล้านได้ ภายในปีเดียวเท่านั้น เพราะงั้น สิ่งที่สำคัญกว่า

ในการนำไปสู่ความมั่งคั่งก็คือไม่ใช่การออมแต่เป็นการที่เรารู้จัก ลงทุนกับตัวเองให้ถูกทางต่างหาก

แล้วคุณก็จะได้กลับคืนมา มากกว่านั้นหลายเท่าตัวเลยล่ะ และบางคนจ่ายเงินเพื่อ

ไปเข้าฟิตเนส ออกกำลังกาย จนมีไอเดียและช่องทางที่จะทำธุรกิจของตัวเอง

ข ายอาหารเสริมสำหรับคนรักสุ ขภ า พ สิ่งเหล่านี้มันทำให้ได้เห็นโลก ที่กว้างขึ้นได้

เห็นธุรกิจใหม่ๆ ที่ต่างประเทศ ก็นำกลับมาต่อยอดที่บ้านตัวเอง

เวลามันจะช่วยบอกเราเองว่า เงินที่คุณลงทุ นไปกับตัวเอง มันทำให้คุณได้อะไรกลับมาบ้าง

มันทำให้คุณมีคุณค่าเพิ่มแค่ไหน หาเงินได้เยอะขึ้นหรือเปล่า

และมันจะเป็นการลงทุ นที่ประสบความสำเร็จ แต่หากมันจะไม่สำเร็จ

แต่มันก็จะให้ประสบการณ์ ที่หาซื้อที่ไหนไม่ได้เลยนะ

Load More Related Articles
Load More By tamnan
Load More In ข้อคิด

Check Also

7 วิธีเพื่อรับมือกับหัวหน้า เมื่อหัวหน้า “ไม่ชอบคุณ”

1. โฟกัสงานไว้ เพราะระหว่างจับตาดู สถานการณ์ก็อย่าลืม ต … …